วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ยิ้มแล้วโลกสวย

ยิ้ม (smile)

การยิ้มเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงมิตรภาพ...เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงเรากำลังมีความสุข

การยิ้มให้คนอื่มไม่เสียเงิน เมื่อยิ้มให้ผู้รับผู้รับก็มักยิ้มตอบ การยิ้มเป็นการแสดงความรู้สึกที่ดีให้ผู้อื่น รอยยิ้มสร้างความประทับใจให้ทุกคน...รอยยิ้มทำให้คนที่กำลังโกรธ อารมณ์เย็นลง...รอยยิ้มทำให้โลกน่าอยู่

ยื้มให้กันเถอะครับ มันไม่เสียตังค์แต่มันให้ความรู้สึกดี

สัญชาตญาณคนเรามันมาจากความรู้ก

ผมเป็นคนที่ใช่ความรู้สึกนำเหตุผลก่อนเสมอ

ชีวิตคนเรามันมี 2 ด้านเสมอ การใช่ชีวิตก็เหมื่อนกัน ผมจะใช้ความรู้สึกนำทางก่อนเมื่อความรู้สึกมันใช่มันตรงแล้ว ค่อยหาเหตุผลมาอธิบายการตัดสินใจนั้นทีหลัง

การใช่ความรู้สึกมากไปมันก็ไม่ดี ใช่เหตุผลมากไปมันก็ไม่ได้ เพราะเรื่องบางเรื่องมันละเอียดอ่อนมันอ่อนไหว ถ้าเอาความเหตุผลมายคิดมากเกินไป มันอาจจะเสียบางสิ่ง...เหมื่อนการพายเรือถ้าพายแต่ฝั่งซ้าย หรือ ขวาเพียงอย่างเดียวเรือมันก็จะหมุนอยู่กับที่ไม่ไปไหน แต่ถ้าหากเราพายทั้งซ้ายและขวาเรือมันก็จะเดินไปข้างหน้า

เนื่องจากความรู้สึกมันมาจากการทำงานของสมองฝั่งขวา ส่วนเหตุผลมันมาจากการทำงานของสมองฝั่งซ้าย

สิ่งที่เป็นความรู้สึกมันมาจากสัญชาตญาณ...และความรู้สึกแรกถูกต้องเสมอ ผมถึงเชื่อความรู้สึกแรกมากที่สุด...แต่ถ้าปล่อยให้นานเข้าการตัดสินใจนั้นจะเปลี่ยนไปเพราะตรรกะจะอยู่เหนือความรู้สึกทันที และการตัดสินใจครั้งนั้นส่วนใหญ่มักผิด

โอกาสก็เหมื่อนไอติม ถ้าไม่กินมันก็ละลาย

โอกาส (Opportunity)

เวลาและโอกาส เป็นสิ่งที่ถ้ามันผ่านไปแล้วจะไม่หวนกลับคืนมาได้อีก

หลายคนที่ชีวิตมีโอกาสที่ได้เจอโอกาสดีๆมากมายแต่ไม่กล้าที่ตัดสินใจ ไม่กล้าที่จะเอามันมาเป็นของตัวเอง...โอกาสมันมีช่วงจังหวะของมันหลายคนรออะไรหลายๆอย่างให้พร้อม แล้วจะทำสิ่งที่ต้องการให้ได้...และในที่สุดทุกคนที่รอให้ตัวเองพร้อมก่อนก็พลาดโอกาสนั้นไปอย่างน่าเสียได้

ผมอยากจะบอกว่า...ไม่มีคำว่าพร้อม 100% ถ้าหากคุณต้องการอะไรสีกอย่างที่มันสำคัญ จงลงมือทำมัน ทำมันเดี๋ยวนี้เลย จงอย่ารอให้พร้อมเพราะคำว่าพร้อมมันไม่มีจริง...คนสำเร็จทุกคนสำเร็จท่ามกลางความไม่พร้อมด้วยกันทั้งนั้น

อย่างเช่น คุณอาจจะเนสวนกับผู้หญิงคนหนึ่งสวยน่ารักมา คุณชอบมากคุณอยากได้เขามาเป็นคู่ชีวิต...แต่ถ้า ณ ตอนนั้นคุณไม่กล้าที่จะเข้าไปทัก เข้าไปคุย เข้าไปขอเบอร์ แล้วคุณพลาดโอกาสนั้น คุณอาจจะไม่มีโอกาสแบบนั้นอีกเลย...โอกาสมันมีจังหวะ มีเวลาของมันอยู่...และมันจะเป็นของคนที่พร้อมมากที่สุด คนที่มีความมั่นใจจะเอามันไปครอง

โอกาสก็เหมื่อนไอติม ถ้าไม่กินมันก็จะละลาย...สร้าง connection กับผู้คนไว้ดีๆ เพราะโอกาสดีๆทั้งหลายมันมาพร้อมผู้คนที่คุณไปพบครับ

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กฎแห่งการดึงดูด

ความคิดมีแรงดึงดูด

ในเรื่องของกฎแห่งการดึงดูดที่ รอนด้า เบิร์น ได้เขียนไว้ในหนังสือ the secret กฎๆนี้ใช่ได้กับคนทั้งโลกไม่มีแบ่งแยกไม่ว่าจนคนชาติไหน ประเทศไหน ศาสนาไหน หรือสีผิวจะดำหรือขาว...ปัญหาก็คือคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ากำลังใช่มันอยู่ และใช่มันไปในทางที่ผิด

เราดึงดูดที่สิ่งที่เรามองเห็นมันในความคิด imagination ไม่ว่าสถานการณ์ที่เข้ามาในชีวิตคุณมันจะดี หรือ แย่ ต้นเหตุทั้งหมดมาจากตัวคุณ...เพราะสิ่งที่คุณคิดมันเกิดการสั่นสะเทือน ทุกๆความคิดมันมีความถี่ไม่ว่าจะ บ้าน เงิน รถ หนี้ หรือ อุบัติเหตุ...ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ หรือก่อนที่คุณจะได้อะไรมันเป็นผลมาจากความคิดของคุณทั้งสิ้น

ถ้าคุณสามารถเห็นมันได้ในความคิดของคุณ...กฎแห่งการดึงดูดมันจะนำมาให้คุณทั้งสิ้น...กฎๆนี้ไม่แบ่งแยก มันไม่สนว่าคุณจะเข้าใจมันหรือป่าว...แต่อะไรก็ตามที่คุณคิดมันจะเกิดเป็นตัวคุณ "คุณจะกลายเป็นสิ่งที่คุณคิดมากที่สุด"

ในหนึ่งวันคนๆหนึ่งจะเกิดความคิดประมาณ 60,000 ครั้ง ฉะนั้นการ focus ความคิดไปในสิ่งที่ต้องการสำคัญมาก กฎแห่งการดึงดูดไม่แบ่งแยก แต่มันจะต้อนรับทุกความคิดที่คุณป้อนให้กับมัน...หากตอนนี้คุณไม่อยากให้เหตุการณ์ที่แย่ๆเกิดขึ้นกับคุณ เช่น แฟนทิ้ง ถูก lay off ออกจากงาน มีปัญหากับนาย โกรธกับเพื่อนรัก คุณจงเปลี่ยน focus และเลิกคิดถึงมันแต่ให้คิดถึงเหตุการณ์ที่คุณต้องการ เช่น ไปเที่ยวกับแฟน เจ้านายรักและดูแลเรา เพื่อนๆรักเรา คิดถึงสถานการณ์ที่เป็นไปในแนวทางบวก

ไม่ว่าจะเป็นศาสดา นักปราชญ์ บุคคลสำคัญของโลกเขาใช่กฎนี้

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หากคุณต้องการให้คนอื่นเคารพคุณ คุณจงเคารพตัวเองก่อน

สัจจะ

เรื่องๆหนึ่งค่อนข้างจะสำคัญมากสำหรับชีวิตคน ยิ่งถ้าเป็นลูกผู้ชายด้วยแล้วการรักษาคำพูดนี้สำคัญที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนก็แล้วแต่โลกนี้ให้ความเคารพกับคนที่ พูดจริงทำจริง และคนที่สามารถทำในสิ่งที่พูดได้คนๆนั้นเขามีความเคารพในตนเอง...และในทางกลับคนคนที่พูดหรือให้สัญญาอะไรไว้กับใครแต่เขาไม่สามารถทำมันได้ คนๆนั้นจะสูญเสียความเคารพในตัวเอง

คนที่ไม่เคารพตัวเอง โลกนี้ก็จะไม่เคารพเขาคนอื่นๆก็จะปฏิบัติกับเขาไม่ดีในแบบอย่างเดียวกับคนที่ไม่เคารพตัวเอง...ยิ่งในยุคสมัยนี้ด้วยแล้ว ยุคแห่งข้อมูล Information age เทคโนโลยีไปไกล แค่คิด คลิ๊ก พิมพ์ สิ่งที่เราคิดคนทั้งโลกรับรู้ได้...ในทางกลับกันหากเราไร้สัจจะ ไร้ความน่าเชื่อถือโลกก็รู้เหมื่อนกัน เพราะมันออกมาจากกระบวนการคิดของเรา

ความคิดกำหนดความรู้สึก...ความรู้สึกก่อให้เกิดอารมณ์...อารมณ์ส่งผลให้เกิดการกระทำ...และสิ่งที่เรากระทำก่อเป็นผลลัพธ์

แค่คิดคนทั้งโลกก็รู้...รักษาคำพูด=เคารพตัวเอง...เคารพตัวเอง=คนทั้งโลกก็เคารพเรา

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

พูดแต่ละครั้งควรระวัง

คำพูดสามารถฆ่าคนได้โดยไม่ทิ้งบาดแผล

ซุนวูกล่าวว่า "ชมคนด้วยวาจามีค่ายิ่งกว่าให้ไข่มุกเป็นของขวัญ ทำร้ายคนด้วยวาจาสาหัสยิ่งกว่าทิ่มแทงด้วยหอกดาบ"

ปากของคนเราสำคัญมาก คุณสามารถพูดให้คนรักคุณ หรือ เกลียดคุณก็ยังได้...ยิ่งถ้าเป็นคำพูดที่พูดออกมาจากความรู้สึกด้วยแล้วคนที่ได้รับจะไม่มีวันลืม ไม่ว่าคำพูดนั้นจะดีหรือไม่ก็ตาม

การพูดในแต่ละครั้งของคนเรานั้นจึงไม่ควรทำให้ผู้อื่น เสียหาย เสียหน้า เสียใจ หรือ เสียความรู้สึก...ยิ่งถ้าคำพูดนั้นออกไปพร้อมอารมณ์ด้วยแล้ว ท้ายที่สุดมันจะเป็นผลสะท้อนกลับมายังผู้พูดแทบทั้งสิ้น

ในทางกลับกันเราควรจะพูดสิ่งที่เป็นข้อดีของคนอื่น และผลักดันด้านดีของเขาให้เป็นจุดเด่น โลกนี้น่าอยู่เพราะความรัก ไม่ใช่ความเกลียด

เมื่อคุณมีความเกลียดอยู่ในใจ ณ เวลานั้นคุณจะไม่สามารถส่งความสุขให้ใครได้เลย...ถ้าคุณโกรธใคร 1 นาที ความรักของคุณก็หายไป 1 นาที...และถ้าคุณไม่ชอบใคร 1 ปี คุณก็ไม่สามารถรักใครได้ในช่วงเวลา 1 ปี...ความรักกับความเกลียดมันเป็นสิ่งตรงข้ามกัน และไม่มีใครที่สามารถมีมันพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกันครับ

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เส้นทางของนักคิด: ลองภูมิ

เส้นทางของนักคิด: ลองภูมิ: ลองภูมิ ตั้งแต่ทำงานมาผมเคยเจอคำถามทางวิชาการ และตามตำรามาบ่อยครั้ง และส่วนใหญ่แล้วผมตอบคำถามนั้นไม่ได้...แต่ผมก็มีคำถามกับตัวเองบ่อยครั้ง ...

อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ให้สงสัยและตั้งคำถาม

กาลามสูตร10

คำสอนหนึ่งที่ทำให้ผมลื่มใส่ในพุทธศาสนาเป็นอย่างมากคือ กาลามสูตร10 ที่ให้กับชาวกาลามะ ในเนื้อหาของคำสอน พุทธะได้กล่าวถึงการไม่ให้คนเราเชื่ออะไรง่ายๆโดยไม่ได้ตรวจสอบ มีด้วยกัน 10 ข้อ คือ

1.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา
2.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา
3.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
4.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์
5.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก
6.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน 
7.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล 
8.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
9.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา

พระองค์ทรงสอนไม่ให้เราเชื่ออะไรง่ายๆในครั้งแรก แต่ให้ตรวจสอบก่อนด้วยสติและปัญญา...แม้ก่อนดับขันปรินิพาน พระองค์ก็ได้ตรัสกับพระอรหันต์ทั้งหลาย จงอย่าเชื่อแม้แต่สิ่งที่พระองค์สอนแต่ให้ตั้งคำถาม ข้อสงสัย และพิสูจน์ก่อน

พระองค์ทรงรู้ดีว่า ความเชื่อของมนุษย์มีพลังถ้าเขามีความเชื่อมากพอจะสามารถย้ายภูเขาถมทะเลได้....แต่หากมนุษย์นำความเชื่อไปใช่ในทางที่ผิด เชื่อโดยไม่ตรวจสอบหายนะจะเกิดขึ้นกับมนุษยชาติได้

กฎทองคำ The Golden Rule

กฎทองคำ(The Golden Rule)

กฎทองคำกล่าวไว้ว่า จงปฏิบัติกับคนอื่นในแบบเดียวกับที่เราต้องการให้เขาปฏิบัติกับเรา

อะไรที่เราทำกับผู้อื่นนั้นคือเราทำกับตัวเอง สิ่งที่เรารู้สึกกับผู้อื่นนั้นคือสิ่งที่เรารู้สึกกับตัวเอง การที่เราเห็นคนอื่นเป็นคนดี หรือ ไม่ดี...มีน้ำใจ หรือ เห็นแก่ตัว นั้นคือสิ่งที่สะท้อนตัวเองทั้งสิ้น

ทุกๆการกระทำทุกๆความคิดที่เราปล่อยออกไปมันจะเปลี่ยนเรา มันจะเปลี่ยนคุณลักษณะของเรา

ตัวตนของเราเป็นศูกนย์กลางที่จะดึงดูด คนที่คล้ายๆกับเรา สถานการณ์ เหตุการณ์ที่เป็นคุณลักษณะของเราเข้ามา...ฉะนั้นถ้าต้องการสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นกับตัวเองให้เปลี่ยนที่ศูนย์กลางคือตัวเรา

ถ้าเราต้องการเปลี่ยนคนอื่นให้เริ่มเปลี่ยนที่ตัวเราก่อน เปลี่ยนคุณลักษณะภายในของเรา มนุษย์เรียนรู้จากการทำเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่การถูกบังคับ

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ลองภูมิ

ลองภูมิ

ตั้งแต่ทำงานมาผมเคยเจอคำถามทางวิชาการ และตามตำรามาบ่อยครั้ง และส่วนใหญ่แล้วผมตอบคำถามนั้นไม่ได้...แต่ผมก็มีคำถามกับตัวเองบ่อยครั้ง ที่ไม่ได้ถามกลับไปกับผู้ที่ถามคำถามผมทางวิชาการ...แต่มาเจอเรื่องร่าวของ บุคคลๆหนึ่งที่เขาตอบคำถามของผมไว้เรียบร้อยแล้ว

มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในระหว่างช่วงสงครามโลก เมื่อฟอร์ดเป็นโจทย์ในคดีฟ้องร้องผู้ที่เขียนบทความหมิ่นประมาทเขา

พอถึงวันขึ้นศาล ทนายฝั่งตรงข้ามพยายามจะแสดงให้ศาลเห็นว่าฟอร์ดนั้นไม่มีความรู้อะไรเลย นอกเหนือไปจากเครื่องยนต์กลไก ด้วยการตั้งคำถามประเภท "ลองภูมิ" กับเขา เช่น ทหารอังกฤษที่เข้ารบในสงครามประกาศอิสรภาพมีจำนวนเท่าใด ฯลฯ...ฟอร์ดไม่สามารถตอบคำถามใดได้เลย

จนในที่สุด ฟอร์ดก็ลุกขึ้นชี้ไปที่ทนายคนนั้นแล้วกล่าวว่า "ทำไมผมจะต้องมานั่งจดจำความรู้ต่างๆเหล่านี้เพื่อตอบคำถามโง่ๆของคุณ ในเมื่อที่โต๊ะทำงานของผมนั้นมีปุ่มสำหรับกดเรียกผู้ช่วยซึ่งสามารถตอบได้ทุกคำถามหรือให้ความรู้ที่ผมต้องการตลอดเวลาอยู่แล้ว"

คำตอบของฟอร์ดทำทนายคนนั้นเงียบ และศาลเห็นว่าเขาเป็นคนมีการศึกษาอย่างแท้จริง

ยิ่งยุคนี้แล้วผมเห็นว่าข้อมูลทั้งโลกอยู่ในมือเรา...อย่างรู้อะไรไม่เกิน 2 นาทีทำได้ การศึกษาที่แท้จริงนั้นคือการเป็นคนที่รู้ว่าต้องหาคำตอบได้จากที่ไหน และรู้วิธีจัดการกับความรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ