วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ยิ้มแล้วโลกสวย

ยิ้ม (smile)

การยิ้มเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงมิตรภาพ...เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงเรากำลังมีความสุข

การยิ้มให้คนอื่มไม่เสียเงิน เมื่อยิ้มให้ผู้รับผู้รับก็มักยิ้มตอบ การยิ้มเป็นการแสดงความรู้สึกที่ดีให้ผู้อื่น รอยยิ้มสร้างความประทับใจให้ทุกคน...รอยยิ้มทำให้คนที่กำลังโกรธ อารมณ์เย็นลง...รอยยิ้มทำให้โลกน่าอยู่

ยื้มให้กันเถอะครับ มันไม่เสียตังค์แต่มันให้ความรู้สึกดี

สัญชาตญาณคนเรามันมาจากความรู้ก

ผมเป็นคนที่ใช่ความรู้สึกนำเหตุผลก่อนเสมอ

ชีวิตคนเรามันมี 2 ด้านเสมอ การใช่ชีวิตก็เหมื่อนกัน ผมจะใช้ความรู้สึกนำทางก่อนเมื่อความรู้สึกมันใช่มันตรงแล้ว ค่อยหาเหตุผลมาอธิบายการตัดสินใจนั้นทีหลัง

การใช่ความรู้สึกมากไปมันก็ไม่ดี ใช่เหตุผลมากไปมันก็ไม่ได้ เพราะเรื่องบางเรื่องมันละเอียดอ่อนมันอ่อนไหว ถ้าเอาความเหตุผลมายคิดมากเกินไป มันอาจจะเสียบางสิ่ง...เหมื่อนการพายเรือถ้าพายแต่ฝั่งซ้าย หรือ ขวาเพียงอย่างเดียวเรือมันก็จะหมุนอยู่กับที่ไม่ไปไหน แต่ถ้าหากเราพายทั้งซ้ายและขวาเรือมันก็จะเดินไปข้างหน้า

เนื่องจากความรู้สึกมันมาจากการทำงานของสมองฝั่งขวา ส่วนเหตุผลมันมาจากการทำงานของสมองฝั่งซ้าย

สิ่งที่เป็นความรู้สึกมันมาจากสัญชาตญาณ...และความรู้สึกแรกถูกต้องเสมอ ผมถึงเชื่อความรู้สึกแรกมากที่สุด...แต่ถ้าปล่อยให้นานเข้าการตัดสินใจนั้นจะเปลี่ยนไปเพราะตรรกะจะอยู่เหนือความรู้สึกทันที และการตัดสินใจครั้งนั้นส่วนใหญ่มักผิด

โอกาสก็เหมื่อนไอติม ถ้าไม่กินมันก็ละลาย

โอกาส (Opportunity)

เวลาและโอกาส เป็นสิ่งที่ถ้ามันผ่านไปแล้วจะไม่หวนกลับคืนมาได้อีก

หลายคนที่ชีวิตมีโอกาสที่ได้เจอโอกาสดีๆมากมายแต่ไม่กล้าที่ตัดสินใจ ไม่กล้าที่จะเอามันมาเป็นของตัวเอง...โอกาสมันมีช่วงจังหวะของมันหลายคนรออะไรหลายๆอย่างให้พร้อม แล้วจะทำสิ่งที่ต้องการให้ได้...และในที่สุดทุกคนที่รอให้ตัวเองพร้อมก่อนก็พลาดโอกาสนั้นไปอย่างน่าเสียได้

ผมอยากจะบอกว่า...ไม่มีคำว่าพร้อม 100% ถ้าหากคุณต้องการอะไรสีกอย่างที่มันสำคัญ จงลงมือทำมัน ทำมันเดี๋ยวนี้เลย จงอย่ารอให้พร้อมเพราะคำว่าพร้อมมันไม่มีจริง...คนสำเร็จทุกคนสำเร็จท่ามกลางความไม่พร้อมด้วยกันทั้งนั้น

อย่างเช่น คุณอาจจะเนสวนกับผู้หญิงคนหนึ่งสวยน่ารักมา คุณชอบมากคุณอยากได้เขามาเป็นคู่ชีวิต...แต่ถ้า ณ ตอนนั้นคุณไม่กล้าที่จะเข้าไปทัก เข้าไปคุย เข้าไปขอเบอร์ แล้วคุณพลาดโอกาสนั้น คุณอาจจะไม่มีโอกาสแบบนั้นอีกเลย...โอกาสมันมีจังหวะ มีเวลาของมันอยู่...และมันจะเป็นของคนที่พร้อมมากที่สุด คนที่มีความมั่นใจจะเอามันไปครอง

โอกาสก็เหมื่อนไอติม ถ้าไม่กินมันก็จะละลาย...สร้าง connection กับผู้คนไว้ดีๆ เพราะโอกาสดีๆทั้งหลายมันมาพร้อมผู้คนที่คุณไปพบครับ

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กฎแห่งการดึงดูด

ความคิดมีแรงดึงดูด

ในเรื่องของกฎแห่งการดึงดูดที่ รอนด้า เบิร์น ได้เขียนไว้ในหนังสือ the secret กฎๆนี้ใช่ได้กับคนทั้งโลกไม่มีแบ่งแยกไม่ว่าจนคนชาติไหน ประเทศไหน ศาสนาไหน หรือสีผิวจะดำหรือขาว...ปัญหาก็คือคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ากำลังใช่มันอยู่ และใช่มันไปในทางที่ผิด

เราดึงดูดที่สิ่งที่เรามองเห็นมันในความคิด imagination ไม่ว่าสถานการณ์ที่เข้ามาในชีวิตคุณมันจะดี หรือ แย่ ต้นเหตุทั้งหมดมาจากตัวคุณ...เพราะสิ่งที่คุณคิดมันเกิดการสั่นสะเทือน ทุกๆความคิดมันมีความถี่ไม่ว่าจะ บ้าน เงิน รถ หนี้ หรือ อุบัติเหตุ...ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ หรือก่อนที่คุณจะได้อะไรมันเป็นผลมาจากความคิดของคุณทั้งสิ้น

ถ้าคุณสามารถเห็นมันได้ในความคิดของคุณ...กฎแห่งการดึงดูดมันจะนำมาให้คุณทั้งสิ้น...กฎๆนี้ไม่แบ่งแยก มันไม่สนว่าคุณจะเข้าใจมันหรือป่าว...แต่อะไรก็ตามที่คุณคิดมันจะเกิดเป็นตัวคุณ "คุณจะกลายเป็นสิ่งที่คุณคิดมากที่สุด"

ในหนึ่งวันคนๆหนึ่งจะเกิดความคิดประมาณ 60,000 ครั้ง ฉะนั้นการ focus ความคิดไปในสิ่งที่ต้องการสำคัญมาก กฎแห่งการดึงดูดไม่แบ่งแยก แต่มันจะต้อนรับทุกความคิดที่คุณป้อนให้กับมัน...หากตอนนี้คุณไม่อยากให้เหตุการณ์ที่แย่ๆเกิดขึ้นกับคุณ เช่น แฟนทิ้ง ถูก lay off ออกจากงาน มีปัญหากับนาย โกรธกับเพื่อนรัก คุณจงเปลี่ยน focus และเลิกคิดถึงมันแต่ให้คิดถึงเหตุการณ์ที่คุณต้องการ เช่น ไปเที่ยวกับแฟน เจ้านายรักและดูแลเรา เพื่อนๆรักเรา คิดถึงสถานการณ์ที่เป็นไปในแนวทางบวก

ไม่ว่าจะเป็นศาสดา นักปราชญ์ บุคคลสำคัญของโลกเขาใช่กฎนี้

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หากคุณต้องการให้คนอื่นเคารพคุณ คุณจงเคารพตัวเองก่อน

สัจจะ

เรื่องๆหนึ่งค่อนข้างจะสำคัญมากสำหรับชีวิตคน ยิ่งถ้าเป็นลูกผู้ชายด้วยแล้วการรักษาคำพูดนี้สำคัญที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนก็แล้วแต่โลกนี้ให้ความเคารพกับคนที่ พูดจริงทำจริง และคนที่สามารถทำในสิ่งที่พูดได้คนๆนั้นเขามีความเคารพในตนเอง...และในทางกลับคนคนที่พูดหรือให้สัญญาอะไรไว้กับใครแต่เขาไม่สามารถทำมันได้ คนๆนั้นจะสูญเสียความเคารพในตัวเอง

คนที่ไม่เคารพตัวเอง โลกนี้ก็จะไม่เคารพเขาคนอื่นๆก็จะปฏิบัติกับเขาไม่ดีในแบบอย่างเดียวกับคนที่ไม่เคารพตัวเอง...ยิ่งในยุคสมัยนี้ด้วยแล้ว ยุคแห่งข้อมูล Information age เทคโนโลยีไปไกล แค่คิด คลิ๊ก พิมพ์ สิ่งที่เราคิดคนทั้งโลกรับรู้ได้...ในทางกลับกันหากเราไร้สัจจะ ไร้ความน่าเชื่อถือโลกก็รู้เหมื่อนกัน เพราะมันออกมาจากกระบวนการคิดของเรา

ความคิดกำหนดความรู้สึก...ความรู้สึกก่อให้เกิดอารมณ์...อารมณ์ส่งผลให้เกิดการกระทำ...และสิ่งที่เรากระทำก่อเป็นผลลัพธ์

แค่คิดคนทั้งโลกก็รู้...รักษาคำพูด=เคารพตัวเอง...เคารพตัวเอง=คนทั้งโลกก็เคารพเรา

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

พูดแต่ละครั้งควรระวัง

คำพูดสามารถฆ่าคนได้โดยไม่ทิ้งบาดแผล

ซุนวูกล่าวว่า "ชมคนด้วยวาจามีค่ายิ่งกว่าให้ไข่มุกเป็นของขวัญ ทำร้ายคนด้วยวาจาสาหัสยิ่งกว่าทิ่มแทงด้วยหอกดาบ"

ปากของคนเราสำคัญมาก คุณสามารถพูดให้คนรักคุณ หรือ เกลียดคุณก็ยังได้...ยิ่งถ้าเป็นคำพูดที่พูดออกมาจากความรู้สึกด้วยแล้วคนที่ได้รับจะไม่มีวันลืม ไม่ว่าคำพูดนั้นจะดีหรือไม่ก็ตาม

การพูดในแต่ละครั้งของคนเรานั้นจึงไม่ควรทำให้ผู้อื่น เสียหาย เสียหน้า เสียใจ หรือ เสียความรู้สึก...ยิ่งถ้าคำพูดนั้นออกไปพร้อมอารมณ์ด้วยแล้ว ท้ายที่สุดมันจะเป็นผลสะท้อนกลับมายังผู้พูดแทบทั้งสิ้น

ในทางกลับกันเราควรจะพูดสิ่งที่เป็นข้อดีของคนอื่น และผลักดันด้านดีของเขาให้เป็นจุดเด่น โลกนี้น่าอยู่เพราะความรัก ไม่ใช่ความเกลียด

เมื่อคุณมีความเกลียดอยู่ในใจ ณ เวลานั้นคุณจะไม่สามารถส่งความสุขให้ใครได้เลย...ถ้าคุณโกรธใคร 1 นาที ความรักของคุณก็หายไป 1 นาที...และถ้าคุณไม่ชอบใคร 1 ปี คุณก็ไม่สามารถรักใครได้ในช่วงเวลา 1 ปี...ความรักกับความเกลียดมันเป็นสิ่งตรงข้ามกัน และไม่มีใครที่สามารถมีมันพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกันครับ

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เส้นทางของนักคิด: ลองภูมิ

เส้นทางของนักคิด: ลองภูมิ: ลองภูมิ ตั้งแต่ทำงานมาผมเคยเจอคำถามทางวิชาการ และตามตำรามาบ่อยครั้ง และส่วนใหญ่แล้วผมตอบคำถามนั้นไม่ได้...แต่ผมก็มีคำถามกับตัวเองบ่อยครั้ง ...

อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ให้สงสัยและตั้งคำถาม

กาลามสูตร10

คำสอนหนึ่งที่ทำให้ผมลื่มใส่ในพุทธศาสนาเป็นอย่างมากคือ กาลามสูตร10 ที่ให้กับชาวกาลามะ ในเนื้อหาของคำสอน พุทธะได้กล่าวถึงการไม่ให้คนเราเชื่ออะไรง่ายๆโดยไม่ได้ตรวจสอบ มีด้วยกัน 10 ข้อ คือ

1.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา
2.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา
3.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
4.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์
5.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก
6.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน 
7.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล 
8.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
9.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา

พระองค์ทรงสอนไม่ให้เราเชื่ออะไรง่ายๆในครั้งแรก แต่ให้ตรวจสอบก่อนด้วยสติและปัญญา...แม้ก่อนดับขันปรินิพาน พระองค์ก็ได้ตรัสกับพระอรหันต์ทั้งหลาย จงอย่าเชื่อแม้แต่สิ่งที่พระองค์สอนแต่ให้ตั้งคำถาม ข้อสงสัย และพิสูจน์ก่อน

พระองค์ทรงรู้ดีว่า ความเชื่อของมนุษย์มีพลังถ้าเขามีความเชื่อมากพอจะสามารถย้ายภูเขาถมทะเลได้....แต่หากมนุษย์นำความเชื่อไปใช่ในทางที่ผิด เชื่อโดยไม่ตรวจสอบหายนะจะเกิดขึ้นกับมนุษยชาติได้

กฎทองคำ The Golden Rule

กฎทองคำ(The Golden Rule)

กฎทองคำกล่าวไว้ว่า จงปฏิบัติกับคนอื่นในแบบเดียวกับที่เราต้องการให้เขาปฏิบัติกับเรา

อะไรที่เราทำกับผู้อื่นนั้นคือเราทำกับตัวเอง สิ่งที่เรารู้สึกกับผู้อื่นนั้นคือสิ่งที่เรารู้สึกกับตัวเอง การที่เราเห็นคนอื่นเป็นคนดี หรือ ไม่ดี...มีน้ำใจ หรือ เห็นแก่ตัว นั้นคือสิ่งที่สะท้อนตัวเองทั้งสิ้น

ทุกๆการกระทำทุกๆความคิดที่เราปล่อยออกไปมันจะเปลี่ยนเรา มันจะเปลี่ยนคุณลักษณะของเรา

ตัวตนของเราเป็นศูกนย์กลางที่จะดึงดูด คนที่คล้ายๆกับเรา สถานการณ์ เหตุการณ์ที่เป็นคุณลักษณะของเราเข้ามา...ฉะนั้นถ้าต้องการสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นกับตัวเองให้เปลี่ยนที่ศูนย์กลางคือตัวเรา

ถ้าเราต้องการเปลี่ยนคนอื่นให้เริ่มเปลี่ยนที่ตัวเราก่อน เปลี่ยนคุณลักษณะภายในของเรา มนุษย์เรียนรู้จากการทำเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่การถูกบังคับ

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ลองภูมิ

ลองภูมิ

ตั้งแต่ทำงานมาผมเคยเจอคำถามทางวิชาการ และตามตำรามาบ่อยครั้ง และส่วนใหญ่แล้วผมตอบคำถามนั้นไม่ได้...แต่ผมก็มีคำถามกับตัวเองบ่อยครั้ง ที่ไม่ได้ถามกลับไปกับผู้ที่ถามคำถามผมทางวิชาการ...แต่มาเจอเรื่องร่าวของ บุคคลๆหนึ่งที่เขาตอบคำถามของผมไว้เรียบร้อยแล้ว

มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในระหว่างช่วงสงครามโลก เมื่อฟอร์ดเป็นโจทย์ในคดีฟ้องร้องผู้ที่เขียนบทความหมิ่นประมาทเขา

พอถึงวันขึ้นศาล ทนายฝั่งตรงข้ามพยายามจะแสดงให้ศาลเห็นว่าฟอร์ดนั้นไม่มีความรู้อะไรเลย นอกเหนือไปจากเครื่องยนต์กลไก ด้วยการตั้งคำถามประเภท "ลองภูมิ" กับเขา เช่น ทหารอังกฤษที่เข้ารบในสงครามประกาศอิสรภาพมีจำนวนเท่าใด ฯลฯ...ฟอร์ดไม่สามารถตอบคำถามใดได้เลย

จนในที่สุด ฟอร์ดก็ลุกขึ้นชี้ไปที่ทนายคนนั้นแล้วกล่าวว่า "ทำไมผมจะต้องมานั่งจดจำความรู้ต่างๆเหล่านี้เพื่อตอบคำถามโง่ๆของคุณ ในเมื่อที่โต๊ะทำงานของผมนั้นมีปุ่มสำหรับกดเรียกผู้ช่วยซึ่งสามารถตอบได้ทุกคำถามหรือให้ความรู้ที่ผมต้องการตลอดเวลาอยู่แล้ว"

คำตอบของฟอร์ดทำทนายคนนั้นเงียบ และศาลเห็นว่าเขาเป็นคนมีการศึกษาอย่างแท้จริง

ยิ่งยุคนี้แล้วผมเห็นว่าข้อมูลทั้งโลกอยู่ในมือเรา...อย่างรู้อะไรไม่เกิน 2 นาทีทำได้ การศึกษาที่แท้จริงนั้นคือการเป็นคนที่รู้ว่าต้องหาคำตอบได้จากที่ไหน และรู้วิธีจัดการกับความรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

การเชื่อมจุด connect the dot

Connec the dot

เมื่อก่อนผมเคยมีคำถามกับตัวเองว่า ผมจะเรียนฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ไปทำไม ในเมื่อเรียนจบไปเป็นทหารมันไม่ได้ใช่...เสียเวลา ไม่มีประโยชน์!! และตอนนี้ผมต้องบอกว่า เมื่อก่อนนั้นผมคิดผิด และต้องขอขอบคุณครู-อาจารย์ ที่สอนให้ความรู้ผมมา...เพราะความรู้จากตรงนี้เองที่ทำให้ผมเข้าใจกฎธรรมชาติ เข้าใจสัจธรรมได้อย่าลึกซึ้ง เพราะวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้...มันสามารถอธิบายในเรื่องที่เข้าใจได้ยากให้เข้าใจได้ง่ายๆ

เพราะชีวิตมันคือการเชื่อมจุด( Connoc the dot )  เชื่อมจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง...ในบางครั้งอาจเกิดสิ่งที่เราไม่ชอบ หรือ ความผิดหวัง แต่ให้เชื่อเถอะครับว่า สิ่งที่เราพบเจอมันต้องมีสิ่งที่ดีมาด้วยแน่ๆ...เท่าแต่ตอนนี้มันยังไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ให้เชื่อไว้ก่อนเลยว่ามันคือสิ่งดี แล้ววันหนึ่งไม่ช้าหรือเร็วเราจะหาจุดเชื่อมดีๆจากเหตุการณ์นั้นๆได้

อย่างเช่น...บางคนมีชีวิตที่ดีมั่งมีขึ้นมาได้ก็เพราะ ในอดีตเขาเกิดมาลำบากยากจนต้องดิ้นรนด้วยตนเอง จนปัจจุบันมีชีวอตที่ดีขึ้นมาได้ก็เพราะอดีตที่เลวร้ายนั้นเอง...คนสำเร็จสูงสุดในสังคมมากมายล้วนมีอดีตที่ไม่น่าจดจำทั้งนั้น

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558

ความเป็นตัวตนของเราคืออะไร

เส้นทางแห่งตัวตน

ความหมายของความมีตัวตนของเรามีอยู่สองทาง

ทางแรก เกิดจากสิ่งที่คนอื่นมองเราจากภายนอก หรือจากการที่เราถูกสังคมประเมิน

ทางที่สอง  เกิดจากความเป็นเนื้อแท้ที่อยู่ภายในตัวเรา เป็นสิ่งแท้แน่จริงที่มีเพียงตัวเราเท่านั้นที่รู้

คนเราต้องมีความมั่นคง แน่วแน่ ไม่ว่าฝนตกหรือฟ้าร้อง เราต้องรักษาจิตวิญญาณคงความเป็นตัวเรา ไม่ขายตัวเองให้กับสิ่งที่เราไม่เชื่อ...บนเส้นทางอันยาวไกลที่เรียกว่าชีวิต  ทุกคนถูกทดสอบด้วยความไม่ถูกต้องเสมอ

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

เรื่องในบ้านที่เราอาจลืม

เรื่องในบ้านที่เราอาจลืม

ผมเห็นคนมากมายใกล้ตัวผมมีความขยันตั้งหน้าตั้งตาทำบางสิ่งเพื่อให้โลกยอมรับ...เขาพูดจาดี และ ปฏิบัติดีกับทุกคนที่เขาไปพบ ผู้คนมากมายรู้จักเขา เขามีชื่อเสียง...หลายคนชื่นชอบความสามารถ ความตั้งใจ ในตัวเขา...เขาภูมิใจในตัวเองที่คนสังคมยกย่องเขา นายชอบ นายชื่นชม เขาเดินยืดอกในสังคมอย่างมั่นใจว่าเขาเก่งที่สุด...แต่สิ่งหนึ่งที่เขาละเลยคือการปฏิบัติแบบเดียวกับที่เขาปฏิบัติกับคนข้างนอกให้กับคนในบ้าน

ส่วนตัวผม ผมชื่นชมคนที่มีความขยันรักความก้าวหน้า คนที่รักการเติบโต ผมชอบคนแบบนี้...แต่สิ่งที่ผมจะพูดถึงก็คือการเอาใจใส่ความรู้สึกของคนใกล้ตัวโดยเฉพาะคนในบ้าน บางคนพูดกับนายเพราะดีมากแต่พอพูดกับพ่อแม่ภรรยาคนในบ้านกลับตะคอก...บางคนดูแลปฏิบัติกับคนอื่นดีทุกอย่างแต่กับคนในบ้านไม่เคยดูแลเอาใจใส่พาไปเที่ยวกินข้าวนอกบ้านเลย

คนเราจะพบเจอความจริงบางสิ่งเมื่อเจอจุดต่ำสุดของชีวิต...บางคนต้องเจ็บป่วยปางตายเข้า รพ. ก่อน ถึงจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วคนที่รักเราที่สุด และคนที่เราควรเอาใจใส่ที่สุด คือคนในบ้าน ถ้าไม่ได้เข้า รพ. ก็จะยังไม่รู้

แน่นอนสิ่งที่คนเราทุกคนตามหาคือ" ความรู้สึกดี " แต่ความรู้สึกดีที่มากจากภายนอกนั้นมันมีได้ไม่นานเดี่ยวมันก็หายไป แต่การให้ความสุขกับความใกล้ตัวนี้ คุณจะเจอความรู้สึกที่มีความสุขจริงๆ โดยไม่ต้องไปแสวงหาการยอมรับจากที่ไหน

ไม่มีชัยชนะที่แท้จริงบนซากปะระหักพัง หรือชัยชนะที่ได้มาจากการเสียความรู้สึกของผู้อื่น และคนรอบตัวไม่ได้ยินดีด้วย...คนเราควรหันมาใส่ใจคนใกล้ตัวให้มากๆ ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ภรรยา หรือ ลูกๆ

มีคำพูดคำหนึ่งของคุณบัณฑิต อึ้งรังษี ที่ผมยืดถืออยู่คือ ไม่มีความสำเร็จนอกบ้านที่ไหน จะมาทดแทนความล้มเหลวในบ้านได้

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

ความสำเร็จกับอีโด้

อย่ายึดติดความสำเร็จหรือล้มเหลวในอดีต ถ้าอยากประสบความสำเร็จในอนาคต

หลายคนพอเริ่มสำเร็จได้รับคำชม ก็เริ่มยึดติดกับความสำเร็จ หลงคำชื่นชมจนเริ่มประมาท เอาความคิดตนเป็นใหญ(Ego) มองคว่มสำเร็จตนเองเป็นสำคัญ จนละเลยการใส่ใจควรมรู้สึกผู้อื่น โดายหารู้ไม่ว่าที่เราเติบโตมาได้ทุกวันนี้ สิ่งหนึ่งก็ด้วยการสนับสนุนจากใครบางคนรอบตัว และเมื่อลืมจุดนี้ไป ชีวิตคุณจะค่อยๆมาจุดเดิม

เมื่อคุณพูดสิ่งใดคนเขาจะลืม  หรือ เมื่อคุณทำสิ่งใดคนเขาก็จะลืมเช่นกัน แต่ ถ้าคุณทำให้เขารู้สึก ไม่ว่าจะบวกหรือลบ เขาจะจำคุณ

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558

จิตใต้สำนึก 2

ไม่ว่าความจริงในปัจจุบันของเราจะเป็นยังงัย จะดี หรือ แย่ก็ตาม ความจริงก็คือเจ้าจิตใต้สำนึกจะเชื่อในสิ่งที่เป็นภาพ ที่ๆเราสามารถเห็น หรือ คิดให้เป็นรูปภาพได้

เช่นสมมติ ปัจจุบัน เราเป็นคนร่างกายไม่แข็งแรง  อ้วนพุงพลุ้ย แต่ในความคิดของเรา เราเชื่ออย่สงหมดใจว่าเราแข็งแรง ร่างกายฟิตอินเชฟ มีซิกแพ๊ค และ เราคิดถึงภาพของตัวเองวิ่งออกกำลังกายเข้าฟิตเนส  แล้วรู้สึกดีกับภาพในความคิด เราเชื่อมันอย่างหมดใจ และในเวลาเดียวกันเราก็ action ไปในแนวทางนั้นด้วย คืออกกำลังกาย เดินวิ่ง ทำอะไรไปเรื่อยๆ ในไม่นาน กายภาพปัจจุบันที่เป็นสิ่งหลอกลวงจะถูกเจ้าจิตใต้สำนึกที่รับคำสั่งจากความคิดของคุณ ให้คุณกลายเป็นคนที่มีลักษณะเหมื่อนกันคนใสภาพของความคิดคุณ

ไม่ว่าจะปัจจุบันจะเป็นยังงัย คุณสามารถเปลี่ยนกายภาพปัจจุบัณขณะของคุณให้กลายเป็น กายภาพภายนอกแบบใหม่ที่คุณต้องการได้ทั้งสิ้น

เรื่องนี้แอ๊พพรายกับทุกเรื่อง สามารถทำได้ในเรื่องที่สำคัญทั้ง 6 ด้านของชีวิตคน
-การงาน
-การเงิน
-ความสัมพันธ์
-ครอบครัว
-จิตวิญญาณ
-สุขภาพ

ทำชีวตทั้ง 6 ด้านของคุณให้เติบโตไปพร้อมกัน แล้วคุณจะมีความสุข

จิตใต้สำนึก

จิตใต้สำนึกทำงานกับสิ่งที่เป็นภาพ เราอยากได้อะไรให้คิดถึงสิ่งนั้นในสิ่งที่เป็นภาพ แล้วจักรวาลจะส่งสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกับภาพที่เราเห็นมาให้เรา

จำไว้น่ะครับจิตใต้สำนึกทำงานกับสิ่งที่เป็นภาพ

นี้เป็นกฎจักรวาล ศาสดา นักปราชญ์ ล้วนร่วงรู้สิ่งนี้